ReadyPlanet.com


การทำทานที่ได้อานิสงส์สูง


 

 

จากการสังเกตสิ่งที่หลวงปู่พาประพฤติปฏิบัติในเรื่องของการทำทาน สิ่งที่มีค่ามากอย่างหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากท่านก็คือ การทำทานด้วยความปล่อยวาง

ท่าน ค่อย ๆ สอนเราทั้งโดยคำพูด และจากการปฏิบัติให้ดู เช่น สอนให้เราไม่ไปรอลุ้นอาหารที่เตรียมไปถวายพระว่าพระท่านจะตักอาหารที่เรา ถวายไปฉันหรือไม่ ท่านว่าจบของอธิษฐานถวายข้าวพระตั้งแต่ที่บ้าน หรือตั้งจิตก่อนประเคนอาหารถวายพระ ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว จากนั้นก็ปล่อยวาง ทำใจให้สบาย ไม่ต้องรอลุ้นให้บุญหกตกหล่นอย่างที่กล่าวข้างต้น

เท่า ที่ประสบ ยังไม่เคยเห็นท่านแนะนำใครว่าเวลาสร้างพระต้องสลักชื่อที่ฐานพระ หรือเวลาถวายปัจจัยซื้อกระบื้องมุงหลังคาโบสถ์แล้วต้องเขียนชื่อบน แผ่นกระเบื้องนั้น ในทำนองตอกย้ำว่าสิ่งนี้คือบุญกุศลของฉันนะ พระองค์นี้ฉันสร้าง กระเบื้องมุงหลังคาโบสถ์แผ่นนี้ฉันเป็นผู้ถวาย

มี ลูกศิษย์คนหนึ่ง ภาวนาต่อเนื่องหลายวัน ประกอบกับได้ไปบำเพ็ญทานบางอย่าง แล้วจู่ ๆ ก็มีประสบการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นกับเขา คือเขามีความรู้สึกเหมือนกับว่ามีน้ำแข็งมาวางอยู่แถว ๆ ลิ้นปี่หรือกลางท้องของเขา มันเย็นสบายอยู่ภายใน และเป็นอยู่อย่างนี้ข้ามวัน จนอดรนทนไม่ไหว ไปกราบเรียนถามหลวงปู่ว่ามันคืออะไร

หลวงปู่ตอบสั้น ๆ เพียงแค่ว่า "ตัวบุญ"

เขาแปลกใจมากว่า เมื่อกำหนดจิตและระลึกถึงทานนั้น ความรู้สึกว่ามีก้อนน้ำแข็งมาวางที่กลางท้องมันก็เกิดขึ้นทุกที

เมื่อ เขาสำรวจตัวเอง ประกอบกับการพิจารณาไตร่ตรองตามคำพูดของหลวงปู่ จึงได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า บุญนี้ เป็นสิ่งที่สัมผัสได้จริง ๆ ซึ่งนอกจากจะสัมผัสได้ทางใจแล้ว มันยังกระเทือนมาถึงกายเป็นความเย็นอยู่ภายในให้สัมผัสได้อีกด้วย

และ เมื่อระลึกถึงท่าทีต่อทานของตนเองก็ยิ่งมั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว คือการทำทานโดยไม่ยึดติดในทานที่ตนถวาย หวังเพียงความดีงามในจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำจัดตัวโลภะ โทสะ โมหะ นี่เองที่ทำให้เขาได้สัมผัสกับตัวบุญ

เขายิ่ง เชื่อมันสิ่งที่หลวงปู่สอนว่าการทำความดีใด ๆ ก็ตาม เราต้องมุ่งในจุดเดียว คือ ให้เป็นไปเพื่อละความโลภ ความโกรธ ความหลง เราต้องฝึกไม่ยึดมั่นแม้ความดีที่ทำ หรือยึดมั่นหมายมั่นว่าทำความดีนั้นแล้วจะมีอานิสงส์ส่งผลในทางโลก ๆ อย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งยิ่งจะเป็นตัวส่งเสริมหรือให้อาหารแก่กิเลสตัวโลภ โกรธ หลง เข้าไปอีก

สิ่งสำคัญที่ศิษย์ผู้นี้ ได้เรียนรู้ก็คือ เมื่อจิตมีความละเอียดอ่อนจากการปฏิบัติภาวนาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับทานที่ทำด้วยจิตที่ปล่อยวาง จะเป็นปัจจัยช่วยให้นักปฏิบัติคนนั้น มีโอกาสจะได้สัมผัสกับตัวบุญซึ่งมันเป็นความชื่นใจเย็นใจที่เป็นปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตนจริง ๆ

ในทางตรงกันข้าม เขาสังเกตเห็นและเรียนรู้ว่าการที่คนเรายึดติดในทานหรือความดีที่ตนบำเพ็ญ กลับจะทำให้จิตของผู้บำเพ็ญไม่โปร่งเบา และมีโอกาสที่จะขาดทุนกำไรคือบุญหกตกหล่นได้ง่าย เช่น จิตเศร้าหมองเพราะเหตุที่โรงหล่อพระสลักชื่อไม่ถูกต้องหรือไม่สวยงามอย่าง ที่ต้องการ หรือเพราะพระไม่ได้ฉันอาหารที่ตนถวาย หรือเพราะไม่มีใคร ๆ รู้ว่าตนได้ถวายทานหรือบำเพ็ญคุณงามความดีนั้น ๆ

พูด เล่ามาถึงตรงนี้ก็ทำให้ระลึกถึงพระบรมราโชวาทของในหลวงที่สอนให้ทำความดี ด้วยความปล่อยวาง โดยไม่หวังว่าจะมีใคร ๆ มารับรู้หรือไม่ เพราะเรามิได้ทำเพื่ออวดใคร ๆ ความดีที่ได้รับคือจิตใจเราที่สูงขึ้นต่างหาก มิใช่จากคำสรรเสริญเยินยอของผู้ใด ดังที่พระองค์อุปมาการทำความดีชนิดนี้ว่าเป็นเหมือน "การปิดทองที่หลังองค์พระปฏิมา" ซึ่งนานวันไป มันก็จะล้นออกมาด้านหน้า จนคนอื่นเขารู้เอง แต่ถึงไม่มีใครรู้ก็ไม่เป็นสิ่งสำคัญอะไร เพราะเราทำความดีโดยมุ่งทำลายกิเลสตัวโลภ โกรธ หลง เท่านั้น

ทำความดีย่อมได้ความดี ทำความดีไม่จำเป็นต้องได้ของดี

นำมาจาก :  luangpordu.com/

 

[img]http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/data/imagefiles/R515-15.jpg[/img]

 



ผู้ตั้งกระทู้ Nop :: วันที่ลงประกาศ 2011-03-15 18:41:27


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (3243576)

อนุโมธนาสาธุด้วยค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธรรมะเพลินใจ วันที่ตอบ 2011-03-20 01:42:51



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



www.วัดเขาอิติสุคโต.com